รมว.ศึกษาธิการกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ศธ.ได้กำหนดภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จในกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เช่น กำหนดอำนาจหน้าที่ โครงสร้าง และหน่วยงานภายในของ กสร., ประสาน สป.ศธ.เพื่อออกแบบและแนวทางให้ได้มาซึ่งคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กสร. และประสานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เพื่อออกแบบและแนวทางให้ได้มาซึ่งคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) กสร., การจัดตั้ง ยุบ รวม เลิก รวมถึงโอนบรรดากิจการ อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้สิน รวมถึงข้าราชการ ลูกจ้างและอัตรากำลังทั้งหมด จากสป.ศธ.ไปขึ้นกับ กสร. ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวม วิเคราะห์ และเสนอถ่ายโอนเรื่องต่างๆ, เร่งรัดจัดทำกฎหมายลำดับรอง ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้พ.ศ.2566 ให้แล้วเสร็จทันตามกรอบของระยะเวลาในแต่ละมาตรา และการปฏิรูปหลักสูตรการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ เป็นต้น
“กฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญมาก จะทำให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยเข้าถึงการเรียนรู้ได้ตามความพร้อมและศักยภาพของบุคคล ทำให้เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียมกันของทุกคนในการได้รับการศึกษา นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่ง กสร.มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้อยู่ในวัยเรียนแต่ไม่ได้รับการศึกษา ผู้พ้นวัยศึกษาในสถานศึกษา ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือทุรกันดารและไม่มีหน่วยงานใดไปดำเนินการ เพื่อให้ได้รับการศึกษาเพื่อดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งสำนักงาน กศน. หรือ กสร. ในอนาคตจะต้องปรับปรุงระเบียบ กฎหมาย รวมถึงปรับภารกิจให้ทันการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการเรียนรู้และกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน” น.ส.ตรีนุชกล่าว.